เปิดใจ 2 คนไทยเสี่ยงชีวิตโกยหินช่วยแม่ลูกชาวเนปาล
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
จากเหตุการณ์พิบัติภัยครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเนปาลในรอบ 80 ปีเหตุแผ่นดินไหวขนาน 7.9 แมกนิจูดเมื่อบ่ายวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านจนทำให้กลืนชีวิตประชาชนชาวแนปาลและนักท่องเที่ยวไปหลายพันคนแล้วจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความเศร้าสลดและสะเทือนขวัญคนไปทั่วโลก
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็มีนักท่องเที่ยวคนไทย 2 คนคือ นายฐิติพันธ์ อุทรา หรือ ต้นข้าว และ น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ ได้ไปประสบเหตุพร้อมทั้งได้สร้างวีรกรรมด้วยการเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้หญิงพร้อมลูกชาวเนปาลที่ถูกอิฐทับให้รอดตายได้ราวปฏิหาริย์
ล่าสุด วันนี้ (29 เม.ย.) นายฐิติพันธ์ อุทรา หรือ ต้นข้าว และ น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ ได้มาบอกเล่าถึงนาทีชีวิตของตัวเองและการเข้าช่วยเหลือสองแม่ลูกชาวเนปาลในรายการ "ปากโป้ง" ทางช่อง 8 ที่มี หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย และ นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ รับหน้าที่ดำเนินรายการ โดยบอกว่า
"ปกติก็เคยไปประเทศเนปาลอยู่แล้วเพราะว่าเราทำทัวร์แสวงบุญแต่ยังไม่เคยได้เข้าไปถึงกาฐมาณฑุ แต่ว่าครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไปดูสถานที่ท่องเที่ยวก็จะออกเดินทางจากประเทศไทยตอนประมาณ 1 ทุ่ม แต่มีเหตุไฟล์ดีเลย์ต้องไปออกประมาณ 5 ทุ่มเลยไปถึงที่เนปาลประมาณตีห้า จึงเข้าพักที่โรงแรมได้ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ออกไปเที่ยว
"ตอนแรกเลยไกด์บอกว่าเราจะต้องไปปาทันกันก่อน แต่ด้วยมีเหตุที่ต้องเลื่อนทำให้ต้องเปลี่ยนโปรแกรมเข้ามาเที่ยวในกาฐมาณฑุกันก่อนจะตะเวนไปเรื่อยจนมาถึงที่สวยัมภูวนารถ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่คนส่วนใหญ่ต้องไปเที่ยวซึ่งทางไกด์ก็บอกว่าจะให้อยู่บริเวณนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งทริปที่ไปนั้นก็มีประมาณ 34 คนต่างก็ย่างย้ายกันไปจนใกล้เที่ยง ทางไกด์มาบอกว่าใกล้ได้เวลาลงแล้ว แต่ก่อนลงไกด์ซึ่งเป็นชาวเนปาลได้บอกว่าไหนมาแล้วก็ให้แวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ด้วยเราสองคนก็เลยเดินเข้าไป"
"พอเข้าไปถึงจุดที่เป็นพระพุทธรูปปรินิพานของพระพุทธเจ้าก็นั่งถ่ายรูปได้หนึ่งรูป คนเนปาลที่อยู่ในนั้นก็ตะโกนบอกว่า run run คือเขาบอกให้วิ่ง ตอนนั้นเราได้ยินเสียงเหมือนกับเครื่องบินชนกับเจดีย์มันดังมาก ไม่คิดว่าจะเป็นแผ่นดินไหวเพราะไม่มีเรื่องแผ่นดินไหวอยู่ในหัวเลย จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้ววิ่งตามหนุ่มเนปาลคนนั้นไปเพราะคิดว่าเขาเป็นคนท้องถิ่นจะต้องมีช่องทางในการหลบก็วิ่งออกประตูด้านข้างตามไปด้วยกัน"
"แต่พอวิ่งตามไปภาพที่เห็นคือเราสองคนเห็นหนุ่มเนปาลคนนี้ถูกยอดเจดีย์ที่หักลงมาทับต่อหน้าเลยห่างกันประมาณ 1 เมตรได้ ตอนนั้นยอมรับว่าช็อกมาก เลยคุยกันว่าเราต้องเปลี่ยนทิศทางแล้วเพราะไปไม่ได้อิฐมันร่วงลงมาปิดทางหมดแล้ว จังหวะที่จะหันกลับไปอีกทางตอนนั้นตัวเราเหมือนกับคนเหยียบเรือสองแคมอ่ะมันโคลงไปหมดจนทำให้ต้นอ้อล้มลงพี่ต้นข้าวเข้ามาช่วยดึงขึ้นเพียงชั่วพริบตาอิฐหินก็ร่วงมาทับตรงที่เรายืนเต็มไปหมด"
"ตอนนั้นไกด์ก็วิ่งเข้ามาก็เลยืนกอดกันทำเป็นเหมือนเสามนุษย์เพราะถ้านอนหรือว่านั่งจะถูกอิฐทับแน่นอนก็เลยยืนกันอยู่ตรงนั้น ก็คุยกันว่าเราจะรอดมัยทางไกด์ก็บอกว่าเราต้องนรอดสิ ก็บอกให้เราสวดมนต์กันตอนนั้นก็เห็นหินก้อนใหญ่กำลังร่วงลงมายังที่เรายืนก็คิดว่าคงตายแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์การสวดมนต์หรือว่าแรงสั่นสะเทือนเลยทำให้หินมันเปลี่ยนทิศไปตรงบนหลังคาพิพิธภัณฑ์แทน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองรอดตายแล้วแน่นอน"
"ตอนนั้นฝุ่นตลบไปหมดมองอะไรไม่ค่อยเห็นและก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องของความช่วยเหลือก็มองเห็นผู้หญิงเนปาลถูกอิฐจากเจดีย์ล้มทับเกือบทั้งตัว พี่ต้นข้าวเลยรีบวิ่งไปช่วยจึงเห็นว่าเขากอดลูกไว้ด้วย ตอนนั้นรีบเอามือโกยหินออกจากตัวผู้หญิงแล้วเอาเด็กออกมาก่อน แต่ด้วยอิฐมันก้อนใหญ่ไม่สามารถที่จะยกคนเดียวได้แต่ก็พยายามช่วยให้เขาสามารถขยับตัวเองได้บ้าง"
"ช่วงนั้นเสียงแผ่นดินไหวยังคงมีเรื่อยๆ ยอมรับว่าไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองเลยคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องช่วยชีวิตเขาเหมือนกัน เมื่อช่วยเด็กออกมาได้แล้วเด็กมีเลือดออกเต็มตัวไปหมด ต้นข้าวเขาจึงรีบอุ้มเพื่อจะลงไปข้างล่างแต่ปรากฏว่าเด็กหยุดหายใจ ต้นอ้อเลยช่วยปั้มหัวใจและพูดกับเขาว่าต้องรอดนะ ต้องไม่ตายพร้อมกับสวดมนต์ไปด้วย"
"จนกระทั่งเดินมาเกือบถึงข้างล่างแล้วจึงมาเจอเจ้าหน้าที่ของเนปาลเลยส่งต่อให้เขาไปและพาคนไปช่วยแม่เด็กที่อยู่ด้านบน จากนั้นไม่รู้ว่าแม่ลูกเป็นอย่างไรต่อ จนทางไกด์ชาวเนปาลมาบอกตอนหลังว่าทั้งแม่และลูกรอดชีวิตปลอดภัยดีรู้สึกดีใจและโล่งใจมากที่เราสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้"
น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ กล่าวทิ้งทายว่า "หลังจากที่ช่วยแม่ลูกได้แล้วเมื่อลงมาเจอกับชาวคณะทั้ง 34 คนครบแล้วก็คิดว่าจะต้องไปที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไปสนามบินแต่สนามบินปิดเข้าไปไม่ได้ เลยจะออกไปนอกเมืองเพราะว่าอาฟเตอร์ช็อกมันเกิดในเมืองแต่ด้วยถนนไม่สามารถไปได้เพราะพังตลอดเส้นทางเลยต้องเดินกันไปจนหลายกิโลเมตรมาก"
"จนในที่สุดรถสามารถวิ่งมาได้เลยออกไปชานเมืองตอนนั้นไม่สามารถเข้าไปอยู่ในโรงแรมหรือว่าอาคารต่างๆ ได้เพราะมันยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกอยู่ก็กลัวกันหมด อาศัยนอนตามสนามหญ้าหรือนอนในรถกัน อากาศก็หนาว เรื่องอาหารการกินก็เริ่มไม่มี มีแบบไหนก็กินกันแบบนั้น กินกันไปตามสภาพ น้ำไม่ได้อาบกัน 3 วันจนได้มีโอกาสเข้าไปในโรงแรมและได้กินอาหารที่โรงแรมที่เขาสามารถทำให้เราทานได้"
"ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอแบบนี้เรียกว่าเป็นเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ก็ว่าได้ของชีวิต"
"ล่าสุดตอนที่คณะของต้นอ้อและพี่ต้นข้าวกลับ เมืองเริ่มที่จะขาดแคลนเรื่องของอาหารน้ำดื่มแล้วคนไม่มีที่อยู่อาศัยจึงรู้สึกสงสารเขามาก แต่มีหลายหน่วยงานหลายประเทศเริ่มเข้าไปช่วยเหลือแล้ว อยากจะฝากถึงคนไทยทุกคนถ้ามีกำลังอยากให้ช่วยกันในแง่มนุษยธรรมหรือว่าไม่พร้อม ขอให้สวดมนต์ภาวนาอธิฐานให้ชาวเนปาลรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วย"
...........................................
ที่มา http://news.sanook.com/1788162/
จากเหตุการณ์พิบัติภัยครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเนปาลในรอบ 80 ปีเหตุแผ่นดินไหวขนาน 7.9 แมกนิจูดเมื่อบ่ายวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านจนทำให้กลืนชีวิตประชาชนชาวแนปาลและนักท่องเที่ยวไปหลายพันคนแล้วจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความเศร้าสลดและสะเทือนขวัญคนไปทั่วโลก
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็มีนักท่องเที่ยวคนไทย 2 คนคือ นายฐิติพันธ์ อุทรา หรือ ต้นข้าว และ น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ ได้ไปประสบเหตุพร้อมทั้งได้สร้างวีรกรรมด้วยการเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้หญิงพร้อมลูกชาวเนปาลที่ถูกอิฐทับให้รอดตายได้ราวปฏิหาริย์
ล่าสุด วันนี้ (29 เม.ย.) นายฐิติพันธ์ อุทรา หรือ ต้นข้าว และ น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ ได้มาบอกเล่าถึงนาทีชีวิตของตัวเองและการเข้าช่วยเหลือสองแม่ลูกชาวเนปาลในรายการ "ปากโป้ง" ทางช่อง 8 ที่มี หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย และ นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ รับหน้าที่ดำเนินรายการ โดยบอกว่า
"ปกติก็เคยไปประเทศเนปาลอยู่แล้วเพราะว่าเราทำทัวร์แสวงบุญแต่ยังไม่เคยได้เข้าไปถึงกาฐมาณฑุ แต่ว่าครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไปดูสถานที่ท่องเที่ยวก็จะออกเดินทางจากประเทศไทยตอนประมาณ 1 ทุ่ม แต่มีเหตุไฟล์ดีเลย์ต้องไปออกประมาณ 5 ทุ่มเลยไปถึงที่เนปาลประมาณตีห้า จึงเข้าพักที่โรงแรมได้ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ออกไปเที่ยว
"ตอนแรกเลยไกด์บอกว่าเราจะต้องไปปาทันกันก่อน แต่ด้วยมีเหตุที่ต้องเลื่อนทำให้ต้องเปลี่ยนโปรแกรมเข้ามาเที่ยวในกาฐมาณฑุกันก่อนจะตะเวนไปเรื่อยจนมาถึงที่สวยัมภูวนารถ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่คนส่วนใหญ่ต้องไปเที่ยวซึ่งทางไกด์ก็บอกว่าจะให้อยู่บริเวณนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งทริปที่ไปนั้นก็มีประมาณ 34 คนต่างก็ย่างย้ายกันไปจนใกล้เที่ยง ทางไกด์มาบอกว่าใกล้ได้เวลาลงแล้ว แต่ก่อนลงไกด์ซึ่งเป็นชาวเนปาลได้บอกว่าไหนมาแล้วก็ให้แวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ด้วยเราสองคนก็เลยเดินเข้าไป"
"พอเข้าไปถึงจุดที่เป็นพระพุทธรูปปรินิพานของพระพุทธเจ้าก็นั่งถ่ายรูปได้หนึ่งรูป คนเนปาลที่อยู่ในนั้นก็ตะโกนบอกว่า run run คือเขาบอกให้วิ่ง ตอนนั้นเราได้ยินเสียงเหมือนกับเครื่องบินชนกับเจดีย์มันดังมาก ไม่คิดว่าจะเป็นแผ่นดินไหวเพราะไม่มีเรื่องแผ่นดินไหวอยู่ในหัวเลย จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้ววิ่งตามหนุ่มเนปาลคนนั้นไปเพราะคิดว่าเขาเป็นคนท้องถิ่นจะต้องมีช่องทางในการหลบก็วิ่งออกประตูด้านข้างตามไปด้วยกัน"
"แต่พอวิ่งตามไปภาพที่เห็นคือเราสองคนเห็นหนุ่มเนปาลคนนี้ถูกยอดเจดีย์ที่หักลงมาทับต่อหน้าเลยห่างกันประมาณ 1 เมตรได้ ตอนนั้นยอมรับว่าช็อกมาก เลยคุยกันว่าเราต้องเปลี่ยนทิศทางแล้วเพราะไปไม่ได้อิฐมันร่วงลงมาปิดทางหมดแล้ว จังหวะที่จะหันกลับไปอีกทางตอนนั้นตัวเราเหมือนกับคนเหยียบเรือสองแคมอ่ะมันโคลงไปหมดจนทำให้ต้นอ้อล้มลงพี่ต้นข้าวเข้ามาช่วยดึงขึ้นเพียงชั่วพริบตาอิฐหินก็ร่วงมาทับตรงที่เรายืนเต็มไปหมด"
"ตอนนั้นไกด์ก็วิ่งเข้ามาก็เลยืนกอดกันทำเป็นเหมือนเสามนุษย์เพราะถ้านอนหรือว่านั่งจะถูกอิฐทับแน่นอนก็เลยยืนกันอยู่ตรงนั้น ก็คุยกันว่าเราจะรอดมัยทางไกด์ก็บอกว่าเราต้องนรอดสิ ก็บอกให้เราสวดมนต์กันตอนนั้นก็เห็นหินก้อนใหญ่กำลังร่วงลงมายังที่เรายืนก็คิดว่าคงตายแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์การสวดมนต์หรือว่าแรงสั่นสะเทือนเลยทำให้หินมันเปลี่ยนทิศไปตรงบนหลังคาพิพิธภัณฑ์แทน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองรอดตายแล้วแน่นอน"
"ตอนนั้นฝุ่นตลบไปหมดมองอะไรไม่ค่อยเห็นและก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องของความช่วยเหลือก็มองเห็นผู้หญิงเนปาลถูกอิฐจากเจดีย์ล้มทับเกือบทั้งตัว พี่ต้นข้าวเลยรีบวิ่งไปช่วยจึงเห็นว่าเขากอดลูกไว้ด้วย ตอนนั้นรีบเอามือโกยหินออกจากตัวผู้หญิงแล้วเอาเด็กออกมาก่อน แต่ด้วยอิฐมันก้อนใหญ่ไม่สามารถที่จะยกคนเดียวได้แต่ก็พยายามช่วยให้เขาสามารถขยับตัวเองได้บ้าง"
"ช่วงนั้นเสียงแผ่นดินไหวยังคงมีเรื่อยๆ ยอมรับว่าไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองเลยคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องช่วยชีวิตเขาเหมือนกัน เมื่อช่วยเด็กออกมาได้แล้วเด็กมีเลือดออกเต็มตัวไปหมด ต้นข้าวเขาจึงรีบอุ้มเพื่อจะลงไปข้างล่างแต่ปรากฏว่าเด็กหยุดหายใจ ต้นอ้อเลยช่วยปั้มหัวใจและพูดกับเขาว่าต้องรอดนะ ต้องไม่ตายพร้อมกับสวดมนต์ไปด้วย"
"จนกระทั่งเดินมาเกือบถึงข้างล่างแล้วจึงมาเจอเจ้าหน้าที่ของเนปาลเลยส่งต่อให้เขาไปและพาคนไปช่วยแม่เด็กที่อยู่ด้านบน จากนั้นไม่รู้ว่าแม่ลูกเป็นอย่างไรต่อ จนทางไกด์ชาวเนปาลมาบอกตอนหลังว่าทั้งแม่และลูกรอดชีวิตปลอดภัยดีรู้สึกดีใจและโล่งใจมากที่เราสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้"
น.ส.นางภัทรากร พิพิชกุล หรือ ต้นอ้อ กล่าวทิ้งทายว่า "หลังจากที่ช่วยแม่ลูกได้แล้วเมื่อลงมาเจอกับชาวคณะทั้ง 34 คนครบแล้วก็คิดว่าจะต้องไปที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไปสนามบินแต่สนามบินปิดเข้าไปไม่ได้ เลยจะออกไปนอกเมืองเพราะว่าอาฟเตอร์ช็อกมันเกิดในเมืองแต่ด้วยถนนไม่สามารถไปได้เพราะพังตลอดเส้นทางเลยต้องเดินกันไปจนหลายกิโลเมตรมาก"
"จนในที่สุดรถสามารถวิ่งมาได้เลยออกไปชานเมืองตอนนั้นไม่สามารถเข้าไปอยู่ในโรงแรมหรือว่าอาคารต่างๆ ได้เพราะมันยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกอยู่ก็กลัวกันหมด อาศัยนอนตามสนามหญ้าหรือนอนในรถกัน อากาศก็หนาว เรื่องอาหารการกินก็เริ่มไม่มี มีแบบไหนก็กินกันแบบนั้น กินกันไปตามสภาพ น้ำไม่ได้อาบกัน 3 วันจนได้มีโอกาสเข้าไปในโรงแรมและได้กินอาหารที่โรงแรมที่เขาสามารถทำให้เราทานได้"
"ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอแบบนี้เรียกว่าเป็นเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ก็ว่าได้ของชีวิต"
"ล่าสุดตอนที่คณะของต้นอ้อและพี่ต้นข้าวกลับ เมืองเริ่มที่จะขาดแคลนเรื่องของอาหารน้ำดื่มแล้วคนไม่มีที่อยู่อาศัยจึงรู้สึกสงสารเขามาก แต่มีหลายหน่วยงานหลายประเทศเริ่มเข้าไปช่วยเหลือแล้ว อยากจะฝากถึงคนไทยทุกคนถ้ามีกำลังอยากให้ช่วยกันในแง่มนุษยธรรมหรือว่าไม่พร้อม ขอให้สวดมนต์ภาวนาอธิฐานให้ชาวเนปาลรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วย"
...........................................
ที่มา http://news.sanook.com/1788162/
เปิดใจ 2 คนไทยเสี่ยงชีวิตโกยหินช่วยแม่ลูกชาวเนปาล
Reviewed by Unknown
on
09:37
Rating:
Post a Comment