อยู่ไปก็ไม่มีอนาคต “อีฟ กมลชนก“ เตรียมบินกลับไปหย่าสามีชาวเกาหลี

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

หลังประกาศแยกทางกับสามีชาวเกาหลี สำหรับอดีตนักเเสดงสาว "อีฟ กมลชนก เวโรจน์" ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้ตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิง เพื่อไปใช้ชีวิตครอบครัวในประเทศสหรัฐอเมริกานานถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับมีทายาทหน้าตาน่ารักถึง 2 คน เเต่สุดท้ายต้องหอบลูกกลับเมืองไทย เพราะทนกับพฤติกรรมติดเที่ยวของสามีไม่ไหว ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้เปิดใจกับสื่อว่าได้ตัดสินใจที่จะหย่ากับสามีได้แล้ว

"ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว มาอยู่ไทยเกือบเดือนแล้วคะ เเต่เดี๋ยวจะกลับไป เพราะต้องกลับไปทำธุระเรื่อง การหย่ากับสามี ก็ที่กลับมาก็เหมือนกลับมาพักผ่อนไตร่ตรองคิดดูว่ายังไงดี และที่เคยบอกว่าเคยให้โอกาสผู้ชายคนนี้ หมายถึงทางสามีแบบว่าจะเอายังไง ก็คิดว่าตอนนี้น่าจะตัดสินใจได้แล้ว อย่างที่บอกคือก่อนจะกลับมา เราก็ได้แยกทางกับก่อนหน้านั้นประมาณ 6-7 เดือนแล้ว คือไม่มีอะไรดีขึ้น อะไรที่เขาเป็นอยู่เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม

"คืออย่างที่เคยพูดไปว่า 1.ไม่มีอนาคต 2.คือเขายังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นมีลูก 2 คนแล้วอะไรประมาณนี้ แต่อีฟก็ไม่อยากจะพูดอะไรแรงๆ ถึงเขามาก คือมันผ่านไปแล้ว คือเราต้องทำใจเข้มแข็ง และก็ต้องยืนให้ได้ ค่าเลี้ยงดูเขาก็ต้องจำเป็นต้องให้เรา เพราะเราก็มีสิทธ์ดำเนินการกับเขาในทางกฎหมายได้"

"ตอนแรกก่อนกลับมาอาทิตย์หนึ่ง เขาก็มีมาง้อ พอมาก็เหมือนเดิม หายไปไม่เห็นโทรมา มันก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วนะคะ คือจริงๆ แล้วมันก็เหมือนจะกลับมา แล้วก็หายไปใหม่ อะไรประมาณนี้คะ ทุกอย่างมันเหมือนเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เราก็ยังแกปัญหายังไม่ได้ และเขาก็ยังทำตัวแบบเหมือนเดิม"

"เรื่องหย่าก็คงจะต้องขึ้นศาลกันหน่อยคะ เพราะว่า อีฟ เป็นคนเลี้ยงลูกมาตลอด อีฟอยากดูแลลูกทั้ง 2 คนเอง เพราะอีฟเป็นคนที่ติดลูกมาก คือมันเหนื่อยค่ะ มันยากมากนะคะที่เราอยู่ต่างประเทศ แล้วต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ถึง 2 คน โดยที่ไม่ใครช่วยเลย โชคดีที่มีคุณแม่อีฟ ไปช่วยตอนที่เรามีปัญหากัน"

"เราไม่ได้เสียใจนะ เพราะว่าเราเป็นคนเลือกทางเดินชีวิตของเราเอง มันผ่านไปแล้ว ก็แค่ต้องอดทนยืดอกยอมรับมัน เพราะว่าตอนนี้เราก็มีลูก 2 คน มันก็ต้องสู้ต่อไป ตอนนี้ก็เข้มแข็งขึ้นมานิดนึง แต่ว่าพอเรานึกถึงแบบว่าลูกเราต้องไม่มีพ่อแล้ว ก็รู้สึกแอบเศร้านิดหน่อย ก็อย่างที่บอกว่า เราเจ็บไม่ได้ ตายไม่ได้ ป่วยไม่ได้ เพราะว่าเรานั้นก็ยังต้องมีลูกอีก 2 คนที่เราต้องรับผิดชอบ"

..........................................

ที่มา: http://news.sanook.com/1788974/