ตะรุเตา...เกาะสวรรค์ที่ใครๆ มองข้าม
© สนับสนุนโดย Kom Chad Luek ตะรุเตา...เกาะสวรรค์ที่ใครๆ มองข้าม
เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน ฤดูแห่งการท่องเที่ยวทางทะเลมาถึง รวมถึงเป็นช่วงเวลาเปิดโลกทะเลอันดามัน ที่มีความงดงามในเรื่องของธรรมชาติที่หลากหลายของหมู่เกาะและชายหาด รวมถึงสรรพสิ่งความสวยงามของโลกใต้น้ำ และยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ อย่างเช่น หมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ยังมีสภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์มากๆ เนื่องจากเป็นเกาะที่ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่เลยในอดีตเคยเป็นดินแดนกักกันนักโทษทั่วไปและนักโทษทางการเมืองที่มีการกล่าวถึงความโหดร้ายของธรรมชาติ ของผู้คุมนักโทษ รวมไปถึงโจรสลัดตะรุเตาที่สร้างความหวั่นกลัวไปทั่วละแวกน่านน้ำแห่งนี้
ย่างก้าวแรกที่ได้มาถึงท่าเรือปากบาราอันเป็นท่าเรือหลักของการเดินทางสู่เกาะตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะ เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่มีการพัฒนาให้เป็นระบบเป็นระเบียบอาคารทันสมัย มีลานจอดรถ อาคารท่าเทียบเรือ และสำนักงานบริการทัวร์ต่างๆ ที่บริการอย่างครบวงจร รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของที่ระลึก ตลอดจนร้านอาหารข้าวแกงที่ติดราคาไว้ 50 บาท ช่างไม่สอดรับกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจนัก
เรือโดยสารทุกลำต่างมุ่งหน้าไปเกาะหลีเป๊ะ จะมีเที่ยวเรือบางเที่ยวที่แวะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเกาะตะรุเตาที่บริเวณอ่าวพันเตมะละกา ฉะนั้นหากเราจะไปเกาะตะรุเตาต้องเลือกโดยสารที่ผ่านเกาะตะรุเตาด้วย การเดินทางที่รวดเร็ว ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเกาะตะรุเตา หัวเกาะปากคลองจระเข้ ยังปรากฏเป็นสัญลักษณ์รูปจระเข้เหมือนเช่นเดิม แนวหาดทรายขาว แนวป่าสน บรรยากาศบนเกาะตะรุเตาเงียบสงบไม่ค่อยได้เห็นนักท่องเที่ยว จะมีเพียงแค่นักท่องเที่ยวที่มาแวะตรงท่าเรือเท่านั้น บนเกาะตะรุเตาจะมีจุดชมวิวที่ ผาโต๊ะบู อยู่ด้านหลังบ้านพักเพียงเดินขึ้นเขาไปตามเทรลประมาณ 20 นาที ก็จะมาถึงศาลาชมวิวมองออกไปจะเห็นท้องทะเลกว้างใหญ่ รวมถึงหัวเกาะรูปจระเข้ที่หมอบนิ่งอยู่เป็นนิรันดร และยังเป็นจุดชมวิวอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งด้วย ลงมาจากจุดชมวิว นั่งเรือหางยาวเข้าไป ถ้ำจระเข้ โดยจะมีเรือชาวบ้านมาบริการอยู่ที่ท่าเรือบริการลำละ 500 บาท
ส่วนใครจะเช่าคยัคพายไปก็ได้ เลาะตามแนวป่าโกงกางไปราว 1.5 กิโลเมตร ถึงท่าเทียบเรือหน้าปากถ้ำ แล้วค่อยเปลี่ยนไปนั่งโป๊ะทุ่นลอย สาวเชือกดึงโป๊ะเข้าไปด้านในเป็นระยะทาง 200 เมตร เสียดายว่า สะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปถึงด้านในทรุดโทรมพังไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีการซ่อมแซมให้ดีขึ้น จึงต้องใช้วิธีการลากสาวทุ่นเข้าไป นักท่องเที่ยวที่เข้าไปต้องมีไฟฉายไปด้วย เพราะในถ้ำมืดมากๆ หากไปกับเรือหางยาวคนขับเรือจะมีไฟฉายพร้อมช่วยเป็นไกด์นำทางและช่วยดูแลนักท่องเที่ยวไปด้วย ตามเส้นทางโถงถ้ำใหญ่ปรากฏเป็นหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆ ที่เกิดจากการหล่อหลอมของธรรมชาติเป็นเวลานับร้อยนับพันปี บางแท่งมีรูปทรงคล้ายอูฐ บางแท่งเป็นกลีบเป็นม่านลงมา มีความวาววับจึงช่วยให้เกิดเป็นภาพที่น่าประทับใจ
ลึกเข้าด้านในอีกก็จะปรากฏเป็นหินงอกหินย้อยที่สวยแปลกตาอีกหลายจุด กลับมาถึงท่าเรือในช่วงเย็นๆ ก็ได้เวลาไปชมอาทิตย์ตกแถวอ่าวเมาะและ กับ อ่าวสน แล้วค่อยกลับไปพักที่อ่าวพันเตมะละกา เส้นทางการท่องเที่ยวบนเกาะตะรุเตาจากอ่าวพันเตมะละกา ไปยัง อ่าวเมาะและ, อ่าวสน หรือ อ่าวตะโละวาว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ไม่มีใครค่อยรู้จักขาดข้อมูลข่าวสารจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งที่สวยงามมาก โดยเฉพาะอ่าวเมาะและ เป็นอ่าวที่สงบเงียบ หาดทรายขาว มีบ้านพักอุทยานปลูกสร้างสไตล์รีสอร์ท มีที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 4 กิโลเมตร หรือไปถึงอ่าวสนประมาณ 8 กิโลเมตร หรืออ่าวตะโละวาวอยู่ทางด้านตะวันออกระยะทางประมาณ 11.2 กิโลเมตร ถนนสายหลักบนเกาะตะรุเตายังเป็นถนนที่มีสภาพดี
ผ่านสภาพป่าสองข้างทางมีความสมบูรณ์มีหมู่นกหลากชนิดที่เห็นโฉบโชว์ตัวอยู่ใกล้ๆ คือ นกแก๊ก มีลิงที่หากินตามชายป่าโดยสภาพของป่าแล้วน่าจะมีสัตว์ป่าที่มากกว่านี้แน่ๆ บรรยากาศท้องทะเลบริเวณเมาะและจะมีธรรมชาติสวยสงบ ลักษณะอ่าวที่โอบล้อมด้วยแนวป่าเขาสูง โลกทะเลที่ อ่าวเมาะและ เราจะได้พบกับรรยากาศความสวยงามในช่วงยามเย็น เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกทางด้านปลายอ่าวด้านซ้ายก็น่าจะสวยอยู่ไม่น้อยแต่เราจะเลือกไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวสนที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร มาถึง อ่าวสน ก็เป็นช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกใกล้กับชายหาดติดกับป่าจะมีปากคลองเล็กๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกลูดูมีแนวโขดหินกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้างพร้อมกับจังหวะเวลาที่แนวคลื่นกำลังซัดสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
จึงได้ภาพบรรยากาศแนวคลื่นปะทะโขดหินในช่วงยามพลบค่ำที่ให้รูปเกลียวคลื่นพลิ้วไหวไปตามแนวโขดหินที่ผสมผสานกับสีสันยามพลบค่ำ เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น เราขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าความมืดขึ้นเขาลงเขาไปยัง อ่าวตะโละวาว กับระยะทางประมาณ 12.5 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายที่สะพานท่าเทียบเรือให้ทันก่อนฟ้าสว่าง เพื่อได้สัมผัสกับแสงสีในห้วงรอยต่อของกาลเวลา บรรยากาศที่อ่าวตะโละวาวแห่งนี้ เงียบสงบทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไร้ร่องรอยผู้คนมาเยือน เมื่อมองฝ่าความมืดออกตามสะพานก็จะเห็นเกาะแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่ปลายสะพาน
อันเป็นจุดที่จะได้เห็นสีสันยามเช้าตรู่ในมุมพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมด้วยองค์ประกอบของแนวสะพานปูนที่ทอดยาวลงไปทะเล คลื่นขาวๆ กับแสงสีที่ตะวันขับออกมาเบิกท้องฟ้า จึงเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวและสวยงามแปลกตาไปจากที่อื่นๆ บริเวณอ่าวตะโละวาวยังมีเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของสถานที่กักกันโทษการเมืองและนักโทษทั่วไปที่ได้เรียกกันว่า คุกตะรุเตา เพราะทางการเล็งเห็นว่าเกาะแห่งนี้สามารถกักกันนักโทษป้องกันการหลบหนีได้ ทว่าเหตุการณ์บ้านเมืองอยูในวิกฤติสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัดขัดสนมากมายอีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ความโหดร้ายของผู้คุม ทำให้นักโทษต้องล้มตายไปบ้าง ตามเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์คุกตะรุเตา
จะมีเส้นทางสะพานไม้ข้ามลำห้วย เลาะเลียบป่าชายเลนและจะมีเส้นทางปูน เป็นเทรลพร้อมกับมีป้ายสถานที่สำคัญ อาทิ ป้ายบอกเส้นทาง บ้านพักผู้อำนวยการ มีสะพานท่าเทียบเรือเก่า พอเห็นร่องรอยเดิมอยู่บ้าง และ ตึกแดง อันเป็นสถานที่สำคัญคือเป็นที่ขังนักโทษขั้นหนักที่สุด โดยตึกแดงจะเป็นหลุมดินปิดทึบใช้ไม้เป็นโครงสร้างมีประตูใส่กุญแจนักโทษถูกขังไว้ด้านใน หลังจากที่ได้ปิดคุกตะรุเตาไปแล้ว ก็ได้มีการประกาศให้พื้นที่เกาะแห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาในปี พ.ศ.2517และได้รวมเกาะน้อยใหญ่ทางด้านเกาะอาดัง ราวี เกาะดงเข้าด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ทรัพยากรทางธรรมชาติของหมู่เกาะตะรุเตายังจัดว่ามีความสมบูรณ์อยู่อีกมาก หากมีการจัดการที่ดีก็จะสามารถช่วยกันดูแลทรัพยากรท่องเที่ยวทางทะเลแห่งนี้ให้คงอยู่ต่อไปอีกนาน
(ชวนเที่ยว : ตะรุเตา...เกาะสวรรค์ที่ใครๆ มองข้าม : เรื่อง / ภาพ … สมศักดิ์ ล่ำพงศ์พันธุ์)
ย่างก้าวแรกที่ได้มาถึงท่าเรือปากบาราอันเป็นท่าเรือหลักของการเดินทางสู่เกาะตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะ เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่มีการพัฒนาให้เป็นระบบเป็นระเบียบอาคารทันสมัย มีลานจอดรถ อาคารท่าเทียบเรือ และสำนักงานบริการทัวร์ต่างๆ ที่บริการอย่างครบวงจร รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของที่ระลึก ตลอดจนร้านอาหารข้าวแกงที่ติดราคาไว้ 50 บาท ช่างไม่สอดรับกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจนัก
เรือโดยสารทุกลำต่างมุ่งหน้าไปเกาะหลีเป๊ะ จะมีเที่ยวเรือบางเที่ยวที่แวะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเกาะตะรุเตาที่บริเวณอ่าวพันเตมะละกา ฉะนั้นหากเราจะไปเกาะตะรุเตาต้องเลือกโดยสารที่ผ่านเกาะตะรุเตาด้วย การเดินทางที่รวดเร็ว ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเกาะตะรุเตา หัวเกาะปากคลองจระเข้ ยังปรากฏเป็นสัญลักษณ์รูปจระเข้เหมือนเช่นเดิม แนวหาดทรายขาว แนวป่าสน บรรยากาศบนเกาะตะรุเตาเงียบสงบไม่ค่อยได้เห็นนักท่องเที่ยว จะมีเพียงแค่นักท่องเที่ยวที่มาแวะตรงท่าเรือเท่านั้น บนเกาะตะรุเตาจะมีจุดชมวิวที่ ผาโต๊ะบู อยู่ด้านหลังบ้านพักเพียงเดินขึ้นเขาไปตามเทรลประมาณ 20 นาที ก็จะมาถึงศาลาชมวิวมองออกไปจะเห็นท้องทะเลกว้างใหญ่ รวมถึงหัวเกาะรูปจระเข้ที่หมอบนิ่งอยู่เป็นนิรันดร และยังเป็นจุดชมวิวอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งด้วย ลงมาจากจุดชมวิว นั่งเรือหางยาวเข้าไป ถ้ำจระเข้ โดยจะมีเรือชาวบ้านมาบริการอยู่ที่ท่าเรือบริการลำละ 500 บาท
ส่วนใครจะเช่าคยัคพายไปก็ได้ เลาะตามแนวป่าโกงกางไปราว 1.5 กิโลเมตร ถึงท่าเทียบเรือหน้าปากถ้ำ แล้วค่อยเปลี่ยนไปนั่งโป๊ะทุ่นลอย สาวเชือกดึงโป๊ะเข้าไปด้านในเป็นระยะทาง 200 เมตร เสียดายว่า สะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปถึงด้านในทรุดโทรมพังไปตามกาลเวลา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีการซ่อมแซมให้ดีขึ้น จึงต้องใช้วิธีการลากสาวทุ่นเข้าไป นักท่องเที่ยวที่เข้าไปต้องมีไฟฉายไปด้วย เพราะในถ้ำมืดมากๆ หากไปกับเรือหางยาวคนขับเรือจะมีไฟฉายพร้อมช่วยเป็นไกด์นำทางและช่วยดูแลนักท่องเที่ยวไปด้วย ตามเส้นทางโถงถ้ำใหญ่ปรากฏเป็นหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆ ที่เกิดจากการหล่อหลอมของธรรมชาติเป็นเวลานับร้อยนับพันปี บางแท่งมีรูปทรงคล้ายอูฐ บางแท่งเป็นกลีบเป็นม่านลงมา มีความวาววับจึงช่วยให้เกิดเป็นภาพที่น่าประทับใจ
ลึกเข้าด้านในอีกก็จะปรากฏเป็นหินงอกหินย้อยที่สวยแปลกตาอีกหลายจุด กลับมาถึงท่าเรือในช่วงเย็นๆ ก็ได้เวลาไปชมอาทิตย์ตกแถวอ่าวเมาะและ กับ อ่าวสน แล้วค่อยกลับไปพักที่อ่าวพันเตมะละกา เส้นทางการท่องเที่ยวบนเกาะตะรุเตาจากอ่าวพันเตมะละกา ไปยัง อ่าวเมาะและ, อ่าวสน หรือ อ่าวตะโละวาว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ไม่มีใครค่อยรู้จักขาดข้อมูลข่าวสารจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งที่สวยงามมาก โดยเฉพาะอ่าวเมาะและ เป็นอ่าวที่สงบเงียบ หาดทรายขาว มีบ้านพักอุทยานปลูกสร้างสไตล์รีสอร์ท มีที่กางเต็นท์ ร้านอาหาร อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 4 กิโลเมตร หรือไปถึงอ่าวสนประมาณ 8 กิโลเมตร หรืออ่าวตะโละวาวอยู่ทางด้านตะวันออกระยะทางประมาณ 11.2 กิโลเมตร ถนนสายหลักบนเกาะตะรุเตายังเป็นถนนที่มีสภาพดี
ผ่านสภาพป่าสองข้างทางมีความสมบูรณ์มีหมู่นกหลากชนิดที่เห็นโฉบโชว์ตัวอยู่ใกล้ๆ คือ นกแก๊ก มีลิงที่หากินตามชายป่าโดยสภาพของป่าแล้วน่าจะมีสัตว์ป่าที่มากกว่านี้แน่ๆ บรรยากาศท้องทะเลบริเวณเมาะและจะมีธรรมชาติสวยสงบ ลักษณะอ่าวที่โอบล้อมด้วยแนวป่าเขาสูง โลกทะเลที่ อ่าวเมาะและ เราจะได้พบกับรรยากาศความสวยงามในช่วงยามเย็น เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกทางด้านปลายอ่าวด้านซ้ายก็น่าจะสวยอยู่ไม่น้อยแต่เราจะเลือกไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวสนที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร มาถึง อ่าวสน ก็เป็นช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกใกล้กับชายหาดติดกับป่าจะมีปากคลองเล็กๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกลูดูมีแนวโขดหินกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้างพร้อมกับจังหวะเวลาที่แนวคลื่นกำลังซัดสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
จึงได้ภาพบรรยากาศแนวคลื่นปะทะโขดหินในช่วงยามพลบค่ำที่ให้รูปเกลียวคลื่นพลิ้วไหวไปตามแนวโขดหินที่ผสมผสานกับสีสันยามพลบค่ำ เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น เราขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าความมืดขึ้นเขาลงเขาไปยัง อ่าวตะโละวาว กับระยะทางประมาณ 12.5 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายที่สะพานท่าเทียบเรือให้ทันก่อนฟ้าสว่าง เพื่อได้สัมผัสกับแสงสีในห้วงรอยต่อของกาลเวลา บรรยากาศที่อ่าวตะโละวาวแห่งนี้ เงียบสงบทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไร้ร่องรอยผู้คนมาเยือน เมื่อมองฝ่าความมืดออกตามสะพานก็จะเห็นเกาะแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่ปลายสะพาน
อันเป็นจุดที่จะได้เห็นสีสันยามเช้าตรู่ในมุมพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมด้วยองค์ประกอบของแนวสะพานปูนที่ทอดยาวลงไปทะเล คลื่นขาวๆ กับแสงสีที่ตะวันขับออกมาเบิกท้องฟ้า จึงเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวและสวยงามแปลกตาไปจากที่อื่นๆ บริเวณอ่าวตะโละวาวยังมีเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของสถานที่กักกันโทษการเมืองและนักโทษทั่วไปที่ได้เรียกกันว่า คุกตะรุเตา เพราะทางการเล็งเห็นว่าเกาะแห่งนี้สามารถกักกันนักโทษป้องกันการหลบหนีได้ ทว่าเหตุการณ์บ้านเมืองอยูในวิกฤติสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัดขัดสนมากมายอีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ความโหดร้ายของผู้คุม ทำให้นักโทษต้องล้มตายไปบ้าง ตามเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์คุกตะรุเตา
จะมีเส้นทางสะพานไม้ข้ามลำห้วย เลาะเลียบป่าชายเลนและจะมีเส้นทางปูน เป็นเทรลพร้อมกับมีป้ายสถานที่สำคัญ อาทิ ป้ายบอกเส้นทาง บ้านพักผู้อำนวยการ มีสะพานท่าเทียบเรือเก่า พอเห็นร่องรอยเดิมอยู่บ้าง และ ตึกแดง อันเป็นสถานที่สำคัญคือเป็นที่ขังนักโทษขั้นหนักที่สุด โดยตึกแดงจะเป็นหลุมดินปิดทึบใช้ไม้เป็นโครงสร้างมีประตูใส่กุญแจนักโทษถูกขังไว้ด้านใน หลังจากที่ได้ปิดคุกตะรุเตาไปแล้ว ก็ได้มีการประกาศให้พื้นที่เกาะแห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาในปี พ.ศ.2517และได้รวมเกาะน้อยใหญ่ทางด้านเกาะอาดัง ราวี เกาะดงเข้าด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ทรัพยากรทางธรรมชาติของหมู่เกาะตะรุเตายังจัดว่ามีความสมบูรณ์อยู่อีกมาก หากมีการจัดการที่ดีก็จะสามารถช่วยกันดูแลทรัพยากรท่องเที่ยวทางทะเลแห่งนี้ให้คงอยู่ต่อไปอีกนาน
(ชวนเที่ยว : ตะรุเตา...เกาะสวรรค์ที่ใครๆ มองข้าม : เรื่อง / ภาพ … สมศักดิ์ ล่ำพงศ์พันธุ์)
............................................
ที่มา: http://www.msn.com/th-th/travel/
ตะรุเตา...เกาะสวรรค์ที่ใครๆ มองข้าม
Reviewed by Unknown
on
04:42
Rating:
Post a Comment